Wednesday, September 26, 2012

หลักการคำนวณการใช้สี

หลักการคำนวณการใช้สี

สี ถ้าคนที่ซื้อบ้านใหม่คงไม่มีปัญหาเรื่องนี้แน่นอนเพราะโครงการเค้าเป็นคน จัดการ
ให้ แต่ถ้าท่านปลูกบ้านเองหรือเป็นบ้านเก่าต้องการจะทาสีใหม่อาจมีปัญหาว่าจะใช้
สียี่ห้ออะไรดี แล้วคุณภาพแต่ละรุ่นต่างกันหรือเปล่า ผมขอเล่าปัญหาของผมแล้วกัน
นะครับ เท่าที่รู้ๆกันอยู่ก็คือสีมีหลายเกรดหลายระดับคุณภาพและราคา มันยังแบ่ง
เป็นให้ทาภายใน ภายนอก และใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก มีแบบเช็ดล้างได้ และอื่นๆ
อีก ตามที่เทคโนโลยีจะพัฒนาไป รวมทั้งการตลาดที่พยายามจะหลอกล่อผู้บริโภค
เรื่องของคุณภาพของสีผมจะไม่พูดถึงนะครับเอาเป็นว่าใครพอใจใช้แบบไหนก็ตาม กำลัง
ทรัพย์ก็แล้วกัน สิ่งที่ผมจะเล่าก็คือแล้วเราจะใช้เท่าไหร่แล้วมันถูกหรือ
แพงกว่าเมื่อเทียบกันอีกยี่ห้อ (แต่ก่อนอื่นท่านต้องเอารุ่นที่อยู่ในระดับเดียว
กันมาเปรียบเทียบนะครับ ไม่ใช้เอารุ่นสูงมาเปรียบกับรุ่นต่ำกว่า) บางท่านอาจบอก
อะไรกันเรื่องง่ายๆก็เอาพื้นที่ทั้งหมดที่คำนวณได้หารด้วยจำนวนของพื้นที่ ที่ทา
ได้ต่อถังหรือกระป๋องของสีก็จะได้จำนวนออกมา ไอ้ปริมาณพื้นที่ที่ทาสีได้ต่อ
กระป๋องหรือต่อถังของสีนี้แหละครับมันเป็นปัญหาสำหรับผมอย่างมาก เพราะมันไม่ได้
เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด เช่นบางยี่ห้อให้ทั้งลิตรกับแกลอน บางยี่ห้อดันมี
แต่ขนาดกลางไม่มีขนาดใหญ่ แถมบางยี่ห้อขนาดใหญ่แพงกว่าเมื่อซื้อขนาดกลางรวมกัน
เป็นต้น คราวนี้เรามาเริ่มดูข้อมูลเท่าที่ผมมี เป็นแค่ตัวอย่างนะครับ
ขั้น แรก
เราก็ต้องหาข้อมูลของสีที่เราสนใจก่อนนะครับ ใครชอบสียี่ห้อไหนก็รุ่นอะไรก็หา
โบว์ชัว หรือแคตตาล็อก หรือไม่ก็ถามพนักงานขายดูครับว่าสีนี้ดียังไงทาได้เท่า
ไหร่ต่อกระป๋อง ต่อถัง มีขนาดอะไรบ้าง เป็นต้น
ขั้น ที่สอง
เราก็มาดูขนาดบรรจุกับพื้นที่การทาสีปกคลุมต่อเทียวครับว่ากี่ตรม.
ยกตัวอย่างของสีเบเยอร์ก่อนนะครับ เป็นรุ่น TOTAL IN ONE ใช้ได้ทั้งภายในและภาย
นอก ขนาดบรรจุมีขนาด 5 ลิตร กับ 15 ลิตร (ตามรูปประกอบครับ)
ตัวอย่าง brochure หรือ catalogue
 <http://i460.photobucket.com/albums/qq323/wanakun/home/begertotalinone...>
 <http://i460.photobucket.com/albums/qq323/wanakun/home/begertotalinone...




คราวนี้เรามาดูที่ คุณสมบัติกัน การปกคลุ่มพื้นที่/ตรม./แกลลอน/เที่ยว เท่ากับ
25 – 30 ตรม. คนโง่อย่างผมก็งงหละสิครับ ก็พี่มีขนาดเป็นลิตร แต่บอกหน่วยที่
คุณสมบัติเป็นแกลลอน อย่างงี้ก็ต้องแปลงค่ากันก่อน แปลงมาได้เป็น 1 แกลลอน เท่า
กับ 3.78541178 ลิตร เอาเป็นว่าผมคิดที่ 3.875 แล้วกันนะครับ (ใช้แกลลอนตาม
มาตรฐานของอเมริกานะครับ ไม่ใช้ของอังกฤษ) ต่อมาเราก็ต้องเทียบบัญญัติตรายางค์
กันต่อครับจาก
1 แกลลอน ทาสีได้ 25 – 30 ตรม. -> 3.785 ลิตร ทาสีได้ 25 – 30 ตรม.
1 ลิตร ทาสีได้ 6.605 – 7.926 ตรม. -> 5 ลิตร ทาสีได้ 33.025 – 39.63 ตรม.
15 ลิตร ทาสีได้ 99.075 – 118.89 ตรม.
แต่ครับ ผมลองเดินสำรวจดู ขนาดบรรจุที่ขายจริงกลับมีขนาด 9.4 ลิตร กับ 5 ลิตร
อันนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ควรระวังนะครับ
9.4 ลิตร ทาสีได้ 62.087 – 74.504 ตรม.
อีก ตัวอย่างครับสีทีโอเอรุ่น 7 in 1 ใช้ทาภายนอกแต่จะเอามาใช้ภายในก็ยิ่งดีครับ
ขนาดบรรจุมีขนาด 5 ลิตร กับ 15 ลิตร (ตามรูปประกอบครับ)
 <http://i460.photobucket.com/albums/qq323/wanakun/home/toa7in1.jpg>
 <http://i460.photobucket.com/albums/qq323/wanakun/home/toa7in11.jpg>
คุณสมบัติ การปกคลุ่มพื้นที่/ตรม./5ลิตร/เที่ยว เท่ากับ 26 – 28 ตรม.
1 ลิตร ทาสีได้ 5.2 – 5.6 ตรม.
5 ลิตร ทาสีได้ 26 – 28 ตรม. -> 15 ลิตร ทาสีได้ 78 – 84 ตรม.
แต่ที่ขายกันจริงๆตาม modern trade home pro, home work กลับมีแต่ขนาด 5 กับ 10
ลิตร
10 ลิตร ทาสีได้ 52 – 56 ตรม.
ตัวอย่าง ต่อมาเป็นสีนิปปอนรุ่น 3 in 1 ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกครับ ขนาดบรรจุ
มีขนาด 5 ลิตร กับ 15 ลิตร
1 ลิตร ทาสีได้ 5 – 6 ตรม.
5 ลิตร ทาสีได้ 25 – 30 ตรม. -> 15 ลิตร ทาสีได้ 75 – 90 ตรม.
1 แกลลอน ทาสีได้ 18.925 – 22.71 ตรม. -> 2.5 แกลลอน ทาสีได้ 47.323 – 56.775
ตรม.
ตัวอย่างคราวๆแค่นี้แล้วกันนะครับ ท่านใดจะใช้สีอะไรรุ่นไหนก็ลองหาแคตตาล็อกมา
คำนวณดูนะครับ เมื่อได้จำนวนพื้นที่ที่ทาสีได้ต่อตรม.ของสีแต่ละรุ่นแล้ว ผมขอ
ย้ำนิดหนึ่งนะครับว่าต้องคำนวณตามขนาดบรรจุที่เค้ามีขายนะครับ เพราะเวลาเราซื้อ
ยังไงก็ต้องซื้อเป็นถังตามที่เค้าขายอยู่แล้ว สมมติว่าสีทีโอเอรุ่น 70 in 1
เค้ามีขนาด 5 ลิตร กับ 15 ลิตร เวลาเราซื้อเราก็ต้องซื้อตามขนาดบรรจุของเค้า
อยู่แล้วคือไม่ 5 ก็ 15 ลิตร ถ้าเราเอาแกลลอนไปคำนวณหรือว่าคำนวณผิดมันจะยุ่งนะ
ครับ
ขั้นตอนสาม
คือการคำนวณปริมาณสีที่จะใช้ว่าต้องใช้กี่ถังกี่ลิตรกี่แกลลอน
สีไหนขายเป็นแกลลอนก็ใช้แกลลอนคำนวณ ส่วนสีไหนขายเป็นลิตรก็ใช้ลิตรคำนวณนะครับ
อีกข้อนะครับคือเกือบทุกยี่ห้อขนาดใหญ่สุดจะมีเฉพาะสีนะครับไม่ได้มีทุกสี ที่เรา
ต้องการ ควรดูรายละเอียดของสีให้ดีก่อน แล้วก็จะมีขายเฉพาะที่ร้านขายสีที่ไม่
ใช้ homepro homework ส่วน homepro homework จะขายทุกขนาดยกเว้นขนาดใหญ่ครับ (
เน้นสีผสมมากกว่าจะได้ไม่ต้องสต็อกสินค้าเยอะครับ)
สมมติ ว่าปริมาณพื้นที่ที่เราจะทาสีมีทั้งหมด 200 ตรม.
ถ้าเป็นสีทีโอเอ 7in1 ใช้ทั้งหมดเท่ากับ 2 ถังใหญ่(15 ลิตร) กับอีก 2 ถังเล็ก(5
ลิตร) ก็จะได้พื้นที่ทั้งหมดเท่ากับ
78 ตรม./15 ลิตร คูณ 2 ถัง เท่ากับ 156 ตรม.
26 ตรม./5 ลิตร คูณ 2 ถัง เท่ากับ 52 ตรม.
รวม เท่ากับ 208 ตรม.
แต่ถ้าเราจะไปซื้อของที่ home pro หรือ home work จะไม่มีถังใหญ่ก็จะต้องคำนวณ
ใหม่เป็น
ขนาด 10 ลิตร จำนวน 4 ถัง ได้พื้นที่ 208 ตรม.



หรือ ถ้าเป็นสีไอซีไอ รุ่น Hydro fresh ใช้ทั้งหมดเท่ากับ 1 ถังใหญ่ (5 แกลลอน)
หรือ 2 ถังกลาง(2.5 แกลลอน)
100 ตรม./2.5 แกลลอน คูณ 2 ถัง เท่ากับ 200 ตรม.
200 ตรม./5 แกลลอน คูณ 1 ถัง เท่ากับ 200 ตรม.
แต่ถ้าเราจะไปซื้อของที่ home pro หรือ home work จะไม่มีถังใหญ่ก็จะต้องคำนวณ
ใหม่เป็น
9 ลิตร คูณ 2 ถัง เท่ากับ 190 ตรม.
3 ลิตร คูณ 1 ถัง เท่ากับ 30 ตรม.
อัน นี้เป็นตัวอย่างครับ ใครเล็งสียี่ห้อไหนรุ่นอะไรก็ลองคำนวณเอาไว้เปรียบเทียบ
กันดูครับ
ขั้น ตอนที่สี่
เมื่อได้จำนวนการใช้มาเรียบร้อยแล้วคราวนี้เรามาเปรียบเทียบกับราคาครับ ถ้าสี
ที่เลือกคุณภาพต่างกันมากไม่ต้องใช้วิธีที่ผมแนะนำก็ได้ครับเพราะมันต่างกัน โดย
ธรรมชาติอยู่แล้ว เสียเวลาท่านเปล่าๆ แต่ถ้าคุณภาพใกล้เคียงกันก็จะเป็นประโยชน์
กว่าครับ
ผมขอยกตัวอย่างตามจำนวนพื้นที่ข้างต้นนะครับ ลำดับแรกก็ทำตามขั้นตอนที่ผมเขียน
ไว้ข้างต้นจนเราสามารถเลือกสีที่อยู่ในใจไว้สักสามสี่อันเอาไว้หรือใครจะมา กกว่า
ก็ได้นะครับ สมมติว่าดูไว้สามยี่ห้อมี เบเยอร์ ทีโอเอ และ ไอซีไอ คราวนี้มาดู
รุ่น เบเยอร์มีดูรุ่น Total in One กับ Shield, ทีโอเอเลือกรุ่น 7 in 1 กับ
Super shield, ส่วน ไอซีไอผมดูรุ่น Weather shield กับ Hydro fresh ในแง่
คุณสมบัติก็จะมีเบเยอร์รุ่น Total in One ทีโอเอรุ่น 7in1 กับ นิปปอน 3 in 1
ที่ใกล้เคียงกันคือปกปิดรอยแตกลายงา สามอันนี้ผมจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันก่อน กับ
อีกกลุ่มผมจัดเบเยอร์ Shield, ทีโอเอ Super Shield กับ ไอซีไอ Hydro fresh อยู่
อีกกลุ่มส่วน ไอซีไอ Weather shield ผมตัดทิ้งครับคุณสมบัติใกล้เคียง Hydro
fresh แต่ Hydro fresh เป็นรุ่นสูงสุดของไอซีไอและราคาต่างกันไม่มากครับ
คราวนี้เรามาดูเรื่องจำนวนการใช้ตัวอย่างของทีโอเอรุ่น 7in1 กับ ไอซีไอรุ่น
Hydro fresh ผมอธิบายไปแล้วเรามาดูส่วนที่เหลือกัน
เบ เยอร์รุ่น Total in One คำนวณได้ 2 ถังใหญ่(15 ลิตร) หรือ 9.4 ลิตร 3 ถัง บวก
กับ 5 ลิตร 1 ถัง
เบ เยอร์รุ่น Shield คำนวณได้ 1 ถังใหญ่(5แกลลอน) กับ 1 ถัง(1 แกลลอน) หรือ 2.5
แกลลอน 2 ถัง 1 แกลลอน 1ถัง
ที โอเอรุ่น Super Shield คำนวณได้ 1ถัง(5 แกลลอน) กับ 1 ถัง(1 แกลลอน) หรือ 2.5
แกลลอน 2 ถัง กับ 1 แกลลอน 1 ถัง
นิ ปปอนรุ่น 3in1 คำนวณได้ 4 ถัง(2.5 แกลลอน) กับ 1 ถัง(1 แกลลอน)
การ คำนวณทั้งหมดผมยึดพื้นที่ต่อตรม.ที่ทาสีปกคลุมได้จำนวนค่าฝั่งน้อยไว้ก่อนนะ
ครับ ยังไงก็เกินดีกว่าขาดครับ เมื่อได้จำนวนที่จะใช้ของแต่ละยี่ห้อและรุ่นแล้ว
ตอนนี้เราก็มาดูว่าราคาเป็นยังไงบ้างครับ
ราคา ผมอ้างอิง วันที่ 13 มีนาคา 52 อาจมีการคลาดเคลื่อนกันบ้างนะครับ บ้างที
หรือบ้างท่านอาจมีส่วนลดหรือการส่งเสริมการขายทำให้ราคาถูกลงด้วยครับ
(L=ลิตร, GL=แกลลอน)
TOA 7 IN 1 15L = 2900, 10L = 1520 - 1750, 5L = 799 - 899
TOA SUPER SHIELD 5GL = 3370, 2.5GL = 1450 – 1550, 1GL = 630 – 645
BEGER TOTAL IN ONE 9.4L = 1610, 15L = 2750, 5L = 990 - 1010
BEGER SHIELD 1GL = 650 - 680, 5GL = 2750, 2.5GL = 1470 -1700
NIPPON 3 IN 1 1GL = 720 - 800, 2.5GL = 1490 - 1650
ICI HYDRO FRESH 1GL = 565 - 585, 5GL = 3660, 3L = 565 – 650, 9L = 1590 –
1720
สรุป การคำนวณเงินผมใช้ขนาดบรรจุที่มีขายใน home pro, home work เป็นหลักนะครับ
TOA 7 IN 1 = 7000
TOA SUPER SHIELD = 3100 + 645 = 3745
BEGER TOTAL IN ONE = 4830 + 1010 = 5840
BEGER SHIELD = 3400 + 680 = 4080
NIPPON 3 IN 1 = 6600 + 800 = 7400
ICI HYDRO FRESH = 3440 + 650 = 4025
-ถ้า เป็นสียืดหยุ่นได้สีเบเยอร์ถูกที่สุดครับ
-ถ้าเป็นสีทำความสะอาดตัวเอง สีทีโอเอถูกสุด
-แต่ถ้าให้เลือกความคุ้มค่าคงต้องเป็นสีเบเยอร์รุ่น total in one ครับ
สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวอีกนิดหน่อยครับ
ส่วนผมผมเลือกสีไอซีไอ เพราะเป็นเกรดสูงสุดของยี่ห้อนี้แล้วราคาต่ำกว่าสี
เบเยอร์ในคุณสมบัติใกล้เคียงกัน บวกความชอบส่วนตัวอีกนิดหน่อยครับ
บางท่านอาจคิดว่าทำไมผมต้องคิดอะไรมากมายอย่างงี้อยากใช้สีอะไรก็ซื้อเลยไม่ เห็น
จะต้องมาคำนวณอะไรเยอะแยะ ส่วนตัวผมอยากทำอะไรที่คุ้มที่สุดกับเราได้ความพอใจ
สูงสุดประกอบกันด้วยครับ
หวังว่าท่านจะเป็นประโยชน์กับท่านที่จะทาสีกันบ้างนะครับ

การแบ่งประเภทของสีต่างๆ

การแบ่งประเภทของสีต่างๆ
         
          การแบ่งประเภทของสี แบ่งตามการใช้งานโดยเริ่มจากชั้นล่างสุด คือ
   1. สีรองพื้น ( Primer ) หมายถึงสีชั้นแรกสุด ที่เคลือบติดวัสดุนั้นๆ เช่น สีรองพื้นกันสนิมมีหน้าที่กันไม่ให้เกิดสนิมเหล็ก หรือเกิดช้าที่สุด สีรองพื้นปูนใหม่กันด่าง คือ สีที่กันความเป็นด่างจากพื้นปูนใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเป็นด่างจากเนื้อปูน ทำปฏิกิริยากับสีทาทับหน้า ลดจำนวนสีทับหน้า วิธีนี้สามารถลดจำนวนสีทับหน้าลงได้
   2. สีชั้นกลาง ( Undercoat ) เป็นสีชั้นที่สองรองจากสีรองพื้น เป็นสีที่เป็นตัวประสานระหว่างสีรองพื้นกับสีทับหน้า เป็นตัวเพิ่มความหนาของฟิล์มสี และลดการใช้สีทับหน้า
   3. สีทับหน้า ( Top Coat ) เป็นสีขั้นสุดท้ายที่จะให้คุณสมบัติที่สวยงาม คงทน เงางาม มีสีมากมายให้เลือกใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ เช่น สีขาว เหลือง แดง ขึ้นอยู่กับรสนิยมและความพอใจ
   4. สีทับหน้าประเภทใส ( Clear T/C ) เป็นสีที่ไม่มี Pigment จะไม่มีสีเป็นสีใสๆ หรือเหลืองอ่อน ใช้เคลือบบนวัสดุต่างๆ ให้เงามากขึ้น หรือด้าน หรือกึ่งเงากึ่งด้าน
          การจำแนกวัตถุประสงค์ของสีกับการใช้งาน
   สีเป็นวัสดุเคลือบผิวชนิดหนึ่ง ซึ่งผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ต่างๆ แล้วสรุปจำแนกสีนำไปใช้งานได้อย่างคร่าวๆ เพื่อให้ีความเข้าใจ แบบกว้างๆเกี่ยวกับการแยกลักษณะการใช้งานของสีชนิดต่างๆดังนี้
   1. สีทาซีเมนต์ / คอนกรีต เช่น บ้าน อาคาร ตึก คอนโด อาพาร์ทเมนต์ ที่ใช้ปูนซีเมนต์ เป็นหลัก ควรใช้สีน้ำหรือสีน้ำ Emulsion เคลือบทับพื้นผิว ดูระบบด้วย
   2. สีทาไม้ – ทาเหล็ก เช่น บ้านไม้ เรือไม้ เรือเหล็กขนาดเล็ก ชิ้นงานเหล็กต่างๆ ควรใช้สีเคลือบเงาทาดูระบบด้วย
   3. สีทาถนน ถนนคอนกรีต ถนนลาดยาง ควรใช้สีทาถนนโดยเฉพาะ
   4. สีอบ เป็นสีที่ใช้ความร้อน อบชิ้นงาน เช่น ตู้เอกสาร แผ่นโลหะเคลือบต่างๆ
   5. สีอบ ประเภท UV Cure เป็นสีหรือกึ่งหมึกพิมพ์ ใช้กับถุงอาหาร จะผ่านแสง UV และจะแห้งทันที เช่น ถุงอาหาร ดินสอ
   6. สีทนความร้อน เป็นสีที่ใช้กับงานต่างๆ ที่ต้องการทนความร้อน เช่น ปล่องไฟ ปล่องควัน ท่อไอเสีย
   7. สีใช้เป็นสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ทาท่อน้ำ ปล่องไฟ ท่อก๊าซ ทาขอบถนนบอกเป็นห้ามจอด ขอบทาง
   8. สีใช้งานเฉพาะ เช่น สีพ่น Acrylic ประตู Alloy สีกันเพรียง สีทาเรือรบ สีพ่นรถยนต์ สีพรางรถถัง สีพ่นตู้เอกสาร สีพ่นเครื่องดับเพลิง ฯลฯ จะมีระบุเฉพาะ



        แนวคิดในการเลือกใช้สี
    สีในท้องตลาดมีมากมายหลายชนิด แบ่งแยกตามจุดประสงค์การใช้งาน แนวคิดกว้างๆ ในการเลือกใช้สี ต้องเลือกใช้สี ที่เหมาะสม กับจุดประสงค์ การใช้งาน เพื่อประโยชน์สูงสุด ที่ได้รับ การเลือกสีสำหรับอาคารนั้น ต้องเลือกให้ตรงตาม วัตถุประสงค์ที่ใช้ โดยแยกตาม ประโยชน์และหน้าที่ เฉพาะของสีโดยมี รายละเอียดดังต่อไปนี้
   1. ทาสีเพื่อปกป้องพื้นผิว การ ทีสีนั้นนอกจากทำเพื่อความเรียบร้อยสวยงามแล้วยังช่วยปกป้องและป้องกันความ เสียหายอันเกิดกับพื้นผิวของวัสดุต่างๆ ของอาคารจากการกัดกร่อนของธรรมชาติ ได้แก่ แสงแดด ฝน สภาวะอากาศ รวมถึงทั้งสารเคมี และการสัมผัส เช็ด ถู ขูดขีด เป็นต้น
   2. เพื่อสุขลักษณะและความสะอาด การทาสีที่ผ่านการเลือกใช้อย่างดี ถูกต้องตามลักษณะการใช้สอยของพื้นที่ในส่วนต่าง ๆ แล้ว จะช่วยทำให้ผิวหน้าของพื้นผิวเมื่อมีการใช้งานจะทำความสะอาดได้ง่ายไม่ดูด ซึมน้ำและสารละลายต่างๆ ได้ เช่น ครัว ควรใช้สีที่ทำความสะอาดง่ายเช่นสีน้ำมัน หรือ สีAcrylic อย่างดี, ห้อง LAB หรือห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ควรใช้สีที่มีความทนทานต่อสารเคมี และห้องน้ำ ควรใช้สีที่ทนต่อน้ำและความชื้นได้ดี ทำความสะอาดง่าย เป็นต้น
   3. เพื่อปรับความเข้มของแสง บรรดาเฉดสีต่างๆ นอกจากจะมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย เช่น ทำให้ดูโล่งกว้าง ดูหนักแน่น หรือดูเร้าใจ เป็นต้นแล้วก็ยังจะมีส่วนช่วยในการปรับ ความเข้ม จาง ของแสงจากแสงแดดและแสงไฟฟ้า เฉดของสีมีส่วนช่วยเพิ่มหรือลดความเข้มของแสงในอาคารได้ เช่น ในห้องอ่านหนังสือที่ต้องการแสงสว่างมาก ๆ ก็ควรใช้เฉดสีสว่าง เช่น สีขาว ในขณะที่ห้องชมภาพยนตร์ ควรจะเลือกใช้เฉดสีที่มืด ไม่รบกวนการชมภาพยนตร์ เป็นต้น ในห้องที่แสงไม่พอ ก็สามารถ ใช้เฉดสีสว่างเข้ามาช่วยทำให้แสงภายในห้องดีขึ้นได้ส่วนหนึ่ง
   4. สัญลักษณ์เครื่องหมาย บางครั้งก็มีการใช้สีสื่อความหมาย เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ ในรูปกราฟฟิก สีบางชนิด จะมีการสื่อ ความหมาย เป็นแบบมาตรฐานสากลได้ เช่น ป้ายจราจร สัญลักษณ์ ระวังอันตรายต่างๆ เป็นต้น
   5. ความสวยงาม ประการสุดท้ายซึ่งเป็นประการสำคัญในการเลือกใช้สี คือเรื่องของความสวยงามความพอใจ ซึ่งเป็นผลโดยตรง และเห็นได้ชัดเจนที่สุด สำหรับงาน ทางสถาปัตยกรรม อาคารบ้านเรือนต่างๆ การเลือกชนิดของสี และ เฉดสีอาจช่วยเน้น ให้แนวความคิดใน การออกแบบแสดงออกมา ได้ดียิ่งขึ้น
   การเลือกใช้สีนั้น อันดับแรก ต้องพิจาณา ถึงความต้องการใช้สอยในพื้นที่ที่จะทาเสียก่อน ว่ามีการใช้งานมากน้อย หนักเบาอย่างไรบ้าง ดูว่าพื้นที่นั้น ๆ มีความต้องการพิเศษ หรือไม่อย่างไร สุดท้ายจึงคำนึงถึงความชอบ ความสวยงาม
     ชนิดและประเภทของสีเพื่อการใช้งานสีชนิดทาภายนอกอาคาร คือ สีที่จะทาในส่วนภายนอกอาคารทั้งหมด ที่มีการระบุให้ทาสี รวมทั้งพื้นผิวส่วนที่เปิดสู่ภายนอก หรือ พื้นผิวส่วนที่จะได้รับแสงแดดโดยตรงจากภายนอกได้ ให้ทาด้วยสีประเภทอาคิลิค (Pure Acrylic Paint )โดยทำการทา 3 เที่ยว ในการทาสีทุกชนิดโดยเฉพาะสีทาภายนอกนั้น ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมพื้นผิวสำหรับการทาสีนั่นเอง เพราะกว่า 80 % ของ การวิบัติของสี เกิดมาจาก การเตรียมพื้นผิวไม่ดี ก่อนการทาสีนั้น ต้องให้แน่ใจว่า พื้นที่จะทานั้น แห้งสนิท ไม่มีสภาพ เป็นกรดด่าง หรือมีฝุ่นเกาะ ควรเป็น ผนังที่ฉาบเรียบ ไม่มีรอยแตกให้เห็น หากมีต้องทำ การโป๊วปิดรอยต่อ เสียให้เรียบร้อย ก่อน การทาสี โดยปรกติ การทาสีทุกประเภทจะทาประมาณ 2 – 3 รอบและ ไม่ควร ทาสีเกิน 5 รอบ เพราะจะทำให้ชั้นของสี มีความหนาเกินไป และหลุดร่อนได้ง่าย
     สีน้ำพลาสติกทาภายใน คือ สีที่จะทา ส่วนภายในอาคาร เช่น ผนังฉาบปูนพื้นผิว ยิปซั่มบอร์ด กระแผ่นเรียบ หรือส่วนอื่นๆ ที่ระบุให้ทา ด้วยสีพลาสติก ( ทา 2-3 เที่ยว ) ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำสีภายในใช้ทาผนังภายนอก เนื่องจากสีภายใน ไม่ทนแดดทนฝน ทำให้สี หลุดร่อนได้ง่าย ที่คิดว่ามีราคาถูกกว่าสีทาภายนอกตั้งแต่แรกก็จะกลายเป็นแพงกว่าขึ้นมาทันที แถมยังเสียเวลาเสียความรู้สึกอีกด้วย เวลาสีหลุดล่อนแตกลายงา ส่วนในผนังที่จะทาสีน้ำมันต้องสะอาด แห้ง และสิ่งที่สำคัญมากคือ ต้องไม่มีความชื้นเพราะ ความชื้นที่มีอยู่ ภายใน หากทาสีแล้วชั้น ของสีน้ำมันจะทับทำให้ระบายอากาศไม่ได้และจะทำให้เนื้อสีพอง บวม ออกมาได้ชัดเจนมากกว่าสีน้ำ หรือ สีอาคิลิค (Acrylic) สีในแต่ละส่วนของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายใน หรือส่วนอื่นของบ้านย่อมมี รายละเอียดของสีที่ทาแตกต่างกัน

ที่มา: http://www.novabizz.com/CDC/Process26.htm

วิธีทาสีบ้านให้สวยทนนาน


วิธีทาสีบ้านให้สวยทนนาน
     การที่จะทาสีบ้านให้สวยและทนนาน ก็ต้องเริ่มจากการเลือกใช้สีที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และวันนี้เกร็ดความรู้เลยมีวิธีการทาสีบ้านที่ถูกต้องและครบตามขั้นตอนมาฝาก กัน...
                                                    
ขั้นแรก : การเตรียมพื้นผิว
     ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมากที่สุด เพราะการเตรียมพื้นผิวอย่างถูกต้อง จะทำให้สีที่ทาลงไปมีความสวยงามกลมกลืนเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนทาสีทุกครั้งต้องทำความสะอาดคราบฝุ่นคราบไขมันบนพื้นผิวก่อนด้วยน้ำ สะอาดหรือน้ำสบู่แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง หากมีราหรือตะไคร่น้ำต้องกำจัดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หากเป็นผนังปูนเก่าและสีเดิมอยู่ในสภาพหลุดล่อนชำรุด ต้องขัดล้างสีเก่าออกก่อนให้หมด เมื่อเตรียมพื้นผิวเสร็จแล้ว ต้องทิ้งให้แห้งสนิทก่อนที่จะทาสีใหม่ และหากมีรอยแตกร้าว ควรซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อน
ขั้นที่สอง : การทาสีรองพื้น
     สีรองพื้น คือ สีที่ใช้ทาบนพื้นผิวก่อนทาสีจริงทับหน้า เพื่อช่วยให้สีทับหน้ายึดเกาะกับพื้นผิวได้ดีและป้องกันความเสียหายจาก ปฏิกิริยาเคมีระหว่างสีทับหน้ากับพื้นผิว
พื้นผิวปูน :
    
หากเป็นปูนใหม่ รองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนใหม่ เพื่อปรับสภาพพื้นผิวคอนกรีตใหม่ และชิ้นงานต่าง ๆ ที่มีค่าความเป็นด่างสูง ช่วยเพิ่มการกลบพื้นผิวดีเยี่ยม
    
หากเป็นปูนเก่า  รองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนเก่า เพื่อเคลือบผนังปูนที่สีเก่าเสื่อมสภาพเป็นฝุ่นผงหรือหลุดลอกให้กลับมีสภาพ ดี ช่วยเสริมการยึดเกาะกับสีทับหน้าได้อย่างมีคุณภาพและคงทน
   
พื้นผิวไม้ :     
รอง พื้นด้วยสีรองพื้นไม้ เพื่อป้องกันยางไม้หรือน้ำยารักษาเนื้อไม้ไม่ให้ซึมออกมาผสมกับสีทับหน้า ทั้งยังช่วยปรับสภาพพื้นผิวไม้ให้เรียบเนียน เพิ่มความสวยเงางามของสีทับหน้า
   
พื้นผิวเหล็ก :

    
สีรองพื้นช่วยป้องกันการเกิดสนิม และช่วยเสริมการยึดเกาะของสีทับหน้า

ขั้นสุดท้าย : การทาสีทับหน้า
     สีทับหน้าหรือสีชั้นนอก มีเฉดสีต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย ควรทาทับหน้า 2-3 ครั้ง โดยทิ้งระยะให้สีที่ทาครั้งแรกแห้งสนิทเสียก่อนจึงทาทับครั้งต่อไป
เคล็ดลับการทาสีให้สวยนาน
     การ ทาสีอาคารบ้านเรือนให้สวยทนนานนั้น นอกจากการเลือกใช้สีที่มีคุณภาพได้มาตรฐานแล้ววิธีการทำสีที่ถูกต้องและครบ ตามขั้นตอนการทาก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น และคงความสวยให้ยืนยาว?คุ้มค่า?ไปอีกนานแสนนาน?
    3 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อสีสวย อยู่ทนนาน
ขั้นแรก : การเตรียมพื้นผิว
                                
     ขั้นตอนนี้นับว่ามีความสำคัญมากที่สุด เพราะการเตรียมพื้นผิวอย่างถูกต้อง จะทำให้สีที่ทาลงไปมีความสวยงามกลมกลืนเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนทาสีทุกครั้งต้องทำความสะอาดคราบฝุ่นคราบไขมันบนพื้นผิวก่อนด้วยน้ำ สะอาดหรือน้ำสบู่แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง หากมีราหรือตะไคร่น้ำต้องกำจัดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หากเป็นผนังปูนเก่าและสีเดิมอยู่ในสภาพหลุดล่อนชำรุด ต้องขัดล้างสีเก่าออกก่อนให้หมด เมื่อเตรียมพื้นผิวเสร็จแล้ว ต้องทิ้งให้แห้งสนิทก่อนที่จะทาสีใหม่ และหากมีรอยแตกร้าว ควรซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อน
ขั้นที่สอง : การทาสีรองพื้น
                                 
     สีรองพื้นคือ สีที่ใช้ทาบนพื้นผิวก่อนทาสีจริงทับหน้า เพื่อช่วยให้สีทับหน้ายึดเกาะกับพื้นผิวได้ดีและป้องกันความเสียหายจาก ปฏิกิริยาเคมีระหว่างสีทับหน้ากับพื้นผิว
พื้นผิวปูน :
     หากเป็นปูนใหม่ รองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนใหม่ เพื่อปรับสภาพพื้นผิวคอนกรีตใหม่ และชิ้นงานต่างๆ ที่มีค่าความเป็นด่างสูง ช่วยเพิ่มการกลบพื้นผิวดีเยี่ยม
     หากเป็นปูนเก่ารอง พื้นด้วยสีรองพื้นปูนเก่า เพื่อเคลือบผนังปูนที่สีเก่าเสื่อมสภาพเป็นฝุ่นผงหรือหลุด ลอกให้กลับมีสภาพดี ช่วยเสริมการยึดเกาะกับสีทับหน้าได้อย่างมีคุณภาพและคงทน
    พื้นผิวไม้ :

     รองพื้นด้วยสีรองพื้นไม้ เพื่อป้องกันยางไม้หรือน้ำยารักษาเนื้อไม้ไม่ให้ซึมออกมาผสมกับสีทับหน้า ทั้งยัง ช่วยปรับสภาพพื้นผิวไม้ให้เรียบเนียน เพิ่มความสวยเงางามของสีทับหน้า
    พื้นผิวเหล็ก :
    
สีรองพื้นช่วยป้องกันการเกิดสนิม และช่วยเสริมการยึดเกาะของสีทับหน้า

ขั้นสุดท้าย : การทาสีทับหน้า
                                
     สีทับหน้าหรือสีชั้นนอก มีเฉดสีต่างๆ ให้เลือกมากมาย ควรทาทับหน้า 2-3 ครั้ง โดยทิ้งระยะให้สีที่ทาครั้งแรกแห้งสนิทเสียก่อนจึงทาทับครั้งต่อไป
สนับสนุนข้อมูลโดย :
บริษัทนิปปอนเพนต์ (ประเทศไทย) จำกัด www.nipponpaint.co.th

ที่มา : http://www.thaihomemaster.com/showinformation.php?TYPE=12&ID=1186

เลือกสีแต่งบ้านให้สวย

เลือกสีแต่งบ้านให้สวย                
         จากรูปจะเป็นวงล้อสี ที่มี สีแดง น้ำเงิน และเหลืองเป็นแม่สี สีที่อยู่ระหว่างช่องของแม่สีจะเกิดจากการผสมแม่สี

          หลักในการเลือกสีตั้งแต่สองสีขึ้นไปมาแต่งห้อง ก็มีอยู่ 2 ข้อจำง่ายๆ

      1. ถ้าคุณเลือกสีที่อยู่ติดกันในวงล้อสี (Analogous colors) เช่น สีฟ้ากับสีเขียวมาแต่งห้องสีที่ใกล้เคียงกันจะให้ความรู้สึกสบายๆ ผ่อนคลาย ไม่เป็นทางการ การใช้สีลักษณะนี้จะเหมาะกับห้องที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น ห้อง นอน ห้องพักผ่อน
                        
      2. ถ้าคุณเลือกสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงล้อของสี (Complementary colors) เช่น สีแดงและสีน้ำเงินสีที่ตรงกันข้ามจะให้ความรู้สึกที่เป็นทางการมากขึ้น และให้ความรู้สึกตื่นเต้น คึกคัก มากกว่าการใช้สีที่คล้ายกัน ห้องที่เหมาะที่จะใช้สีตรงข้ามก็เช่น ห้องสันทนาการ หรือห้องใดๆ ก็ตามที่คุณต้องการให้เกิดความรู้สึกกระฉับกระเฉงแทนการผ่อนคลาย
                    

      ถ้า ต้องการห้องที่ให้บรรยากาศสดใสครึกครื้น ก็ทาด้วยสีเหลือง เพราะเป็นสีตรงข้ามกันกับสีฟ้าแต่ถ้าอยากได้บรรยากาศผ่อนคลาย ก็ทาด้วยสีเขียว เพราะเป็นสีที่อยู่ใกล้กัน



                   
      มีเทคนิคนิดหน่อยสำหรับการใช้สีให้ดูดี จากสีในวงล้อ หลีกเลี่ยงการใช้สีโดด เช่น แดงแป๊ด เขียวปื๋อ เหลืองอ๋อย มาแต่งห้องทำอย่างไรก็ได้ไม่ว่าจะเติมด้วยสีขาว หรืออะไรก็ตามให้โทนสีอ่อนลง ตุ่นลง ที่เรียกว่า Muted colors จะทำให้ห้องดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาเยอะทีเดียว
                       
     เอาล่ะเมื่อเลือกสีได้แล้ว ทีนี้ก็จะมีคำถามว่า....

     "แล้วห้องๆ หนึ่งจะใช้กี่สีดีล่ะ"

      ตามทฤษฏีของ Linda Dano เธอบอกว่า สำหรับผู้ที่เริ่มต้นแต่งห้องด้วยตนเองให้ใช้แค่ 3 สีเท่านั้นก่อน
  3 สีก่อนเท่านั้นนะครับ
ต่อจากนั้นก็มาถึงหลักการในการละเลงสีทั้งสามสีในห้องๆ หนึ่ง
                       
การเลือกใช้สีให้เหมาะกับห้องต่างๆ ในบ้าน


 1.ห้องนั่งเล่น (Living Room) สำหรับห้องนี้สามารถเล่นกับสีได้ทุกโทน ทั้งสีโทนอ่อน โทนกลาง และโทนสีเข้ม เป็น การสร้างบรรยากาศให้กับการพักผ่อนของครอบครัว เช่น อาจจะเลือกใช้สีโทนกลางทา เพดาน และเลือกใช้สีโทนเข้มสำหรับผนังของห้อง ส่วนเฉดสีที่เลือกใช้ควรเลือกใช้เฉดสี ดูโปร่ง สบายตา ไม่ร้อนแรงมาก เช่น สีครีม สีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน เป็นต้น  2.ห้องรับประทานอาหาร (Dinning Room)  ควรเลือกใช้สีอุ่นโทนกลาง โดยเลือกใช้เฉดสีที่ดูสะอาด สบายตา เพราะจะช่วยเพิ่ม บรรยากาศ และกระตุ้นให้ รับประทานอาหารได้มากขึ้น เช่น สีชมพู สีส้มอ่อนๆ เป็นต้น  3.ห้องน้ำ (Bath Room)  สำหรับห้องน้ำความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอยต้องมาก่อนความสวยงาม ควร เลือกใช้เฉดสีที่ให้ความรู้สึกสดชื่น สะอาด สบายตา เช่น สีฟ้าน้ำทะเล สีน้ำเงินอมเขียว เป็นต้น  4.ห้องนอน (Bed Room) มีหลายสีที่เหมาะสำหรับห้องนอน สีขาวยังเป็นสีมาแรงด้วยความสะอาด สบายตา หรูหรา และโรแมนติก ในขณะที่สีเหลือง จะช่วยให้ห้องสดชื่น ส่วนผู้ที่ชอบนอนดึก ตื่น สาย จะเหมาะกับโทนสีเข้มที่ให้บรรยากาศอบอุ่น แต่หลักๆ แล้วในห้องนอนควรเลือก ใช้เฉดสีที่สบายๆ สงบ ไม่ร้อนแรง เพราะเป็นห้องที่ไว้ใช้พักผ่อน เช่น สีฟ้าอ่อนๆ สีครีม 
ที่มา : อีบิลด จำกัด

Saturday, September 22, 2012

องค์ประกอบหลักของสี่

สีมีองค์ประกอบหลักสี่ส่วน ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว รายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบมีดังต่อไปนี้

 

คือองค์ประกอบแรกที่ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างฟิล์มยึดเกาะบนพื้นผิวต่างๆ และประสานยึดผงสีและสารต่างๆ ในเนื้อสีไว้ด้วยกัน ผลิตจากธรรมชาติ เช่นยางไม้ หรือผลิตจากอุตสาหกรรมปิโตเคมิคอลก็ได้
Binder แปลตรงตัวว่าผู้รวบรวมให้ยึดติดกัน ซึ่งในอุตสาหกรรมสีนำมาใช้เรียกลักษณะการทำหน้าที่ของ Resin และไม่ว่าจะเรียกเป็นอะไรก็ตาม Resin ทุกตัวต่างก็เป็นพลาสติกชนิดชนิดหนึ่งทั้งสิ้น
พลาสติก คือ สารประกอบใดๆ ก็ตาม โดยผลิตมาจากผลิตผลของพืช หรือสัตว์ หรืออุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งเราจะเห็นว่าวัตถุดิบกลุ่มนี้จะเป็นสารเชื้อเพลิงทั้งสิ้น
Film Former แปลว่าผู้สร้างแผ่นฟิล์ม นำคำนี้มาใช้เข่นเดียวกับคำว่า Binder แต่ในวงการสีเมืองไทยจะเรียกกันว่ากาว ซึ่งอนุโลมได้ว่าเป็นความหมายที่ใช้ได้เนื่องจากลักษณะของ Resin เมื่ออยู่ในสภาพของเหลวจะมีคุณสมบัติเหมือกาวทั่วๆไป



เราสามารถแยกกลุ่มวัตถุดิบและการผลิตเพื่อนำมาใช้งานของ Resin เป็น 2 กลุ่มใหญ่ได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่ม Resin ที่ได้จากพืชและสัตว์ ได้แก่
1. น้ำมันและยางไม้ต่างๆ เช่น น้ำมันสน น้ำมันยางนา ยางจากต้นรักเป็นต้น
Resin เหล่านี้ถูกมนุษย์นำมาใช้งานตั้งแต่สมัยโบราณ บางตัวยังใช้งานกันจนถึงปัจจุบัน เช่น การยาเรือไม้ด้วยชัน และ น้ำมันยางนา หรือการลงรักปิดทอง เป็นต้น วัตถุดิบกลุ่มนี้ที่ใช้งานแพร่หลายและผลิตเป็นระดับอุตสาหกรรม ได้แก่

1.1 Alkyd Resin เป็น Resin ที่ทำจากน้ำมันพืชชนิดต่างๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลืองปรับสภาพด้วยความร้อน เดิมสารเคมี ฯลฯ ก็จะได้สารเหลงที่มีคุณสมบัติสามารถแข็งตัวเป็นฟิล์มได้โดยการทำปฏิกริยากับ ออกซิเจน (Oxidation) สีที่ทำจาก Resin ชนิดนี้ได้แก่ สีน้ำมัน หรือสีเคลือบเงามีกลิ่นเหมือนน้ำมันสนที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด
1.2 Chlorinated Rubber Resin ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติมาปรับสภาพ (Modify) กับคลอรีนก็จะได้ Resin ที่ใช้ทำสำหรับใช้งานกับโครงสร้างโลหะที่สภาพแวดล้อมรุนแรงปานกลาง
1.3 Resin ที่ทำจากเส้นใยหรือเนื้อเยื่อของพืช เช่นพลาสติกที่บริโภคได้ ตัวอย่าง เช่น เปลือกแคปซูลยา หรือ แป้งเปียก ก็เป็น resin ชนิดหนึ่ง
ในอุตสาหกรรมสีมี Resin ชนิดหนึ่งชื่อ Nitrocellulose ได้จากการนำปุยฝ้ายมาละลายกับ SOLVENT จะได้กาวเหนียว ที่เราเรียกกันว่า Nitro Cellulose Resin นอกเหนือจากการนำมาทำสีแล้วยังเป็นวัตถุดิบในการทำดินระเบิดที่ใช้งานใน อุตสาหกรรมอาวุธในปัจจุบันสีที่ผลิตจาก Resin ชนิดนี้ คือ Lacquer และสีพ่นอุตสาหกรรม (Industrial Lacquer) ที่ใช้พ่นเฟอร์นิเจอร์ และเป็นสีพ่นรถยนต์ตระกูลหนึ่ง

2. Resin ที่เป็นผลผลิตจากสัตว์ เช่น กาวหนัง แต่ที่นำมาใช้งานทางด้านสีที่แพร่หลายและใช้กันมานานมาก คือ Shellac ซึ่งได้มาจากมูลของแมลงชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า ครั่ง โดยแมลงชนิดนี้จะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ และถ่ายมูลออกมาเป็น Resin แข็ง ซึ่งสามารถหลอมละลายด้วยความร้อนหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งเรียกกันว่า Shellac ใช้ทาไม้ แต่เนื่องจากคุณภาพของฟิล์มเปราะ ความเงาต่ำ และอายุการใช้งานสั้น ปัจจุบันจึงถูกทดแทนด้วยสารเคลือบประเภทอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติดีกว่า

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่ม Resin ที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ (Petrochemical Products)
ซึ่งก็คือพลาสติกชนิดต่างๆ ที่แวดล้อมตัวเราอยู่ทุกวันนี้ ทางวิชาการมักจะเรียกว่า วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic Material) ซึ่งหมายความว่าการทำเทียมหรือเลียนแบบวัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น พลาสติกบางชนิดที่นุ่ม ยืดหยุ่นตัว เราก็เรียกว่ายางเทียมหรือยางสังเคราะห์ เนื่องจากเป็นยาง (พลาสติก) ที่คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์โดยการ ดัดแปลงจากวัตถุดิบที่เป็นสารเคมีต่างๆ จากน้ำมันดิบ เป็นต้น พูดง่ายๆ คือมนุษย์ทำขึ้นมาไม่ใช้ผลผลิตจากธรรมชาติ พลาสติกที่ผลิตขึ้นมาใช้ในงานปัจจุบันมีมากมายหลายชนิดและมีชื่อแตกต่างกัน คุณสมบัติก็ต่างกันแล้วแต่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานอะไร แต่ในอุตสาหกรรมสีนั้นจะมีอยู่ไม่กี่ชนิดดังต่อไปนี้

1. PVAC (Polyvinyl Acetate Copolymer) เป็น Resin ที่ใช้ในกลุ่มทำสีน้ำพลาสติก (ซึ่งจะเขียนถึงที่มาของสีผสมน้ำในช่วงท้ายของบท Resin) ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของประเทศไทยประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมาปัจจุบันยังใช้ผลิตสีในระดับราคาถูกเนื่องจากพลาสติกชนิดนี้ทนต่อด่างและ UV ได้ไม่ดี
2. ACRYLIC เมื่อปี พ.ศ.2523 บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการศึกษาพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสีในประเทศไทย ผลการศึกษาครั้งนั้น ทีโอเอ ได้ตัดสินใจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Acrylic Resin ซึ่งมีคุณสมบัติเหนือกว่า PVAC Resin ในทุกๆ ด้าน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสีโดยรวมคือ ปัจจุบันสีในตลาดระดับกลางและสูง จะใช้วัตถุดิบเป็น Acrylic ทุกบริษัท
3. EPOXY เป็น Resin อีกชนิดหนึ่งที่มีฟิล์มแข็งทนสารเคมีได้ดี มักจะใช้เป็นสีทาโครงสร้างโลหะในบริเวณที่มีสภาวะอากาศรุนแรง เช่น โครงสร้างในทะเล (Off Shore Structures) หรือโรงงานเคมี โรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น บางครั้งเรานำมาใช้กับงานคอนกรีต เช่น พื้น ผนังโรงงาน หรือในบริเวณอาคารที่ต้องการปกป้องจากการใช้งานหนักและทำความสะอาดได้ เช่น ห้องผ่าตัด เป็นต้น ข้อด้อยของ Epoxy คือ โครงสร้างของ Epoxy ไม่ทนต่อ UV ซึ่งถ้าฟิล์มโดน UV สักระยะหนึ่ง (ประมาณ 5-6 เดือน) ผิวฟิล์มจะด้านเป็นฝุ่นบางๆ (Chalking) แต่ประสิทธิภาพในการปกป้องพื้นผิวจะยังคงมีอยู่
4. POLYURETHANE เป็น Resin ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Epoxy แต่มีข้อดีกว่าตรงที่ทน UV ได้ดี เรามักจะนำมาเป็นเคลือบใสสำหรับการเคลือบพื้นไม้ปาร์เกท์ เป็นต้น ถ้าเป็นสีจะใช้ทดแทนสี Epoxy เป็นสีที่ใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความเงาเป็นพิเศษ
5. FLUOROCARBON เป็น Resin ที่ทนความร้อนได้ดีและฝุ่นจะเกาะฝังตัวน้อย เครื่องใช้ในบ้านที่ใช้ Resin ตัวนี้คือภาชนะที่เคลือบสารดำๆ ที่เราเรียกว่า Teflon (เป็นชื่อทางการค้าของพลาสติกชนิดนี้) เป็น Resin ที่ใช้ทำสีเพื่อเคลือบชิ้นโลหะที่เป็นส่วนประกอบของผนังอาคารที่ทำด้วยกระจก และโลหะ (Curtain Wall) จุดอ่อนของสีประเภทนี้ คือผิวจะด้านไม่เงาและราคาแพงมาก อาจจะพิจารณาตัวทดแทนได้ คือ Polyurethane
6. มี Resin อีกตัวที่มีที่มาของวัตถุดิบจากแหล่งที่ไม่เป็นสารจากสิ่งมีชีวิตถ้าเรา สังเกตในกลุ่ม Resin ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดจะเห็นว่าวัตถุดิบที่นำมาผลิต Resin ตั้งแต่กลุ่ม 1 จนถึงกลุ่ม 2 จะมาจากพืชและสัตว์ทั้งนั้น แม้จะมาในรูปของน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติก็ตามเพราะว่า น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ก็คือ ผลผลิตจากซากพืช ซากสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ที่ทับถมรวมกันแต่ Resin ตัวนี้กลับทำจากทราย (Silica Sand) ที่นำมาผลิตกระจก นักวิทยาศาสตร์สามารถคิดค้นจนผลิตยางเหนียวจากทรายได้ ที่เราเรียกว่า Silicone Resin ซึ่งเมื่อนำมาผลิตสีแล้วจะได้สีที่ใช้ สำหรับบริเวณที่มีความร้อนสูง เช่น ท่อไอเสีย เตาเผา เป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือ วัตถุดิบหลักตัวแรกที่ใช้ผลิตสีสำหรับเกี่ยวข้องกับงานสถาปัตยกรรมยังมี Resin ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอีกหลายตัว แต่มักจะใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงขอไม่เขียนถึง ณ ที่นี้


โดยปกติ Resin หรือ กาวที่เราเรียนรู้ในบทที่ผ่านเมื่อแห้งหรือแข็งตัวจะมีลักษณะใส ดังนั้นถ้าหากในกระบานการผลิตเราตัดองค์ประกอบของผงสีออก เราก็จะได้สารเคลือบใสชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของ Resin
หน้าที่หลักของผงสีคือ

1. ป้องกัน UV ไม่ให้สัมผัสกับพื้นผิววัสดุ
2. ป้องกันออกซะเจนไม่ให้เข้าทำปฏิกิริยากับโลหะ
3. ป้องกันการซึมของยางไม้
4. เพื่อการปิดบังความไม่เรียบร้อยของผิววัสดุ
5. เพื่อการเตรียมพื้นผิววัสดุ
6. เพื่อให้เกิดสีสันด้านความงาม

ชนิดของผงสี หากแบ่งตามลักษณะการมองเห็น (กายภาพ) จะแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม
1. ผงสีโปร่งแสง (Transparent Pigment)
2. ผงสีกึ่งโปร่งแสง (Semi-Transparent Pigment)
3. ผงสีทึบแสง (Opaque Pigment)
4. ผงสีประกอบ (Extender)



สามารถแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
1. กลุ่มเพื่อปรับให้สีเหมาะสมกับการทำงาน เช่น สารที่ช่วยให้การทาสีลื่น หรือสารช่วยไม่ให้สีไหลหรือหยดขณะทา เป็นต้น
2. กลุ่มเพื่อเพิ่มคุณภาพแก่สีนั้นๆ เช่น สารลดรอยแปรง (Leveling Agent) สารปรับลดความเงาของฟิล์มสี Matting Agent) สารป้องกัน Bacteria เช่น Microban สารป้องกันเชื้อรา สารกันฟอง เป็นต้น
3. สารเพื่อการรักษาสภาพของสีในการเก็บรักษา เช่น สารกันบูด เป็นต้น




เมื่อเราได้ยินคำว่า Thinner คนไทยจะเข้าใจไปว่าเป็นพวกสารระเหย (Solvent) ซึ่งในความหมายที่แท้จริงของคำว่า Thinner คือสารอะไรก็ตามที่สามารถละลาย เจือจางเนื้อวัสดุ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของน้ำ น้ำมัน สารระเหยต่างๆ จะเรียกว่า Thinner ทั้งสิ้น (Thin แปลว่า บาง เจือจาง Thinner คือผู้ทำให้บางเจือจาง)

เลือกสีทาบ้านตามวันเกิด





 เลือกสีบ้านสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์
สี แดงเป็นสีที่ถูกโฉลกกับคนเกิดวันอาทิตย์แต่อย่าคิดจะใช้สีแดงสดเป็นสีบ้าน หรือสีห้องนอนเป็นอันขาด บ้านของคนเกิดวันอาทิตย์ต้องเป็นบ้านไม้สีแดงหรือไม่ก็เป็นบ้านสีขาวสว่างสด ใส ส่วนห้องนอนก็ควรใช้สีควันบุหรี่ สีขาวสะอาดหรือถ้าฝาผนังเป็นไม้ เป็นอิฐก็แต่งห้องด้วยผ้าม่านสีขาว มีลูกไม้ถักสีขาวด้วยเช่นกันแค่นี้ก็เสริมดวงชะตาและทำให้คนเกิดวันอาทิตย์ อยู่ในบ้านนี้อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้มากแล้ว




เลือกสีบ้านสำหรับคนเกิดวันจันทร์ คน เกิดวันจันทร์ค่อนข้างชอบอยู่คนเดียวสงบๆไม่ค่อยอยากยุ่งวุ่นวายกับใคร สีบ้านที่ถูกโฉลกกับคนเกิดวันจันทร์ต้องเสริมความเป็นคนมีเสน่ห์ให้ผู้คน เห็นชัดๆ สีที่ใช้ก็ควรเป็นสีเงิน สีฟ้าอ่อนหรือไม่ก็เป็นสีเหลืองอ่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประตูบ้านหากมีสีทองได้จะยิ่งเสริมความโดดเด่นให้มากขึ้น ห้องนอนของคนเกิดวันจันทร์ควรจะใช้สีครีม สีเหลืองนวล และสีเขียวอ่อนปนขาว อย่าคิดจะใช้สีสดๆ เป็นอันขาด เพราะนอกจากไม่เสริมดวงชะตาด้านใดด้านหนึ่งแล้ว ยังทำให้ผู้คนที่อยู่ในบ้านเกิดความรู้สึกร้อนรุ่มได้อีกด้วย





เลือกสีบ้านสำหรับคนเกิดวันอังคาร สี บ้านที่ถูกโฉลกกับคนเกิดวันอังคารควรเป็นสีเทา สีฟ้าอ่อน เพราะคนเกิดวันอังคารค่อนข้างเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยให้มากๆ เพราะจะเป็นสถานที่เดียวซึ่งให้ความสงบ อบอุ่น ปลอดภัย และยังทำให้ผู้คนที่อยู่ในบ้านด้วยเกิดความรู้สึกผ่อนคลายความรุ่มลงได้อีก ด้วยนอกจากนี้คนเกิดวันอังคาร ยังควรให้ความสำคัญกับห้องนอนอีกด้วยเพราะจะเป็นที่ๆ เสริมดวงชะตาให้ได้อย่างมากสีของห้องนอนควรจะใช้สีเขียวอ่อนๆสีฟ้าอ่อนๆหรือ สีพยับหมอกซึ่งจะให้ความอ่อนโยน ปลอบประโลม และยังให้ความสงบความมีสมาธิ ผู้พักผ่อนจะเกิดความรู้สึกว่าตัดความยุ่งยากวุ่นวายออกไป ตัดขาดจากโลกภายนอกไปได้สักพักหนึ่ง




เลือกสีบ้านสำหรับคนเกิดวันพุธ
พุธ กลางวัน สีบ้านที่ถูกโฉลกด้วย คือ สีฟ้า แดง แสด ขาวและดำ ให้เลือกสีเหล่านี้ในการตกแต่งบ้าน ทาสีทั้งภายนอกและภายใน รวมไปถึงห้องนอน และห้องอื่นๆ ภายในบ้านเพื่อเสริมสิริมงคลและทำให้ผู้อยู่ในบ้านเกิดความสงล และยังรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ถ้าเป็นคนสนใจการตกแต่งบ้่าน จะเป็นบ้านที่ค่อนข้างออกสไตล์โมเดิร์นผสมกลิ่นอายตะวันออก ทำให้ผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนรู้สึกทึ่งในความเป็นคุณ และยังสามารถใช้สีต่างๆ เหล่านี้ในการตกแต่งเป็นสถานที่ทำงานหรือโฮมออฟฟิศ เพื่อเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้กับคุณอย่างมากอีกด้วย


พุธกลาง คืน สีชมพู เทา เขียวอ่อนและขาวนวล เหมาะจะเป็นสีของที่อยู่อาศัย เพราะเป็นสีซึ่งให้ความสงบ ให้่ความอ่อนโยน และปลอบประโลมจิตใจได้เป็นอย่างดี ตามธรรมดาแล้วคนเกิดพุธกลางคืนมักให้ความสำคัญกับผู้คนในบ้านด้วยกัน ห้องแต่ละห้องจึงมีสีที่เหมาะกับบุคลิกภาพของคนนั้นๆ แต่ถ้ายังยึดโทนสีดังกล่าวมานี้จะเสริมดวงชะตาทุกคนได้ดีที่เดียว ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และคลายความร้อนรุ่มไปได้มาก ส่วนสีของตัวบ้านภายนอกควรมีสีเข้มๆ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนค่อนข้างใจร้อน ทำอะไรก็ต้องให้ได้อย่างใจเร็วๆ ดังนั้นควรเลือกสีที่จะเสริมดวงชะตาให้เกิดความสงบ สีเข้มๆ ทึบๆ ภายนอกแต่ล้อมรอบต้วยต้นไม้สีเขียว ดงไม้ที่มีดอกไม้หลากสีสัน จะทำให้มีสมาธิ เหมาะที่จะเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อน ตัดความยุ่งยากวุ่นวายออกไปและเป็นที่ๆคุณจะพักฟื้นเรียกพลังในร่างกายให้ กลับคืนมาได้อีกครั้ง


เลือกสีบ้านสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี สี บ้านที่ถูกโฉลก ควรเป็นสีเอิร์ธโทน มาเป็นอันดับแรก หรือไม่ก็สีน้ำตาลหรือ เป็นบ้านไม้ธรรมชาติไปเลยจะเสริมดวงชะตาได้มาก อยู่แล้วสงบสุข ปลอดภัย และเสริมสิริมงคลได้อย่างได้อย่างดีอีกด่้วย บ้านไม้สีน้ำตาลหรือบ้านตีกทาสีเนื้อๆ น้ำตาลอ่อน ๆ ก็เหมาะที่จะทำให้คนอยู่ในบ้านเกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และบ้านสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดีก็เหมือนเป็นหลุมหลบภัย เป็นสถานที่ ๆ ตัดขาดจากโลกภายนอก เหมาะกับนิสัยที่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ คนเดียวของ คุณมากส่วนสีของห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นเพื่อความสบายใจนั้นก็ต้องเป็น สีส้มอ่่อน สีีพีช หรือสีฟ้าอ่อน ๆ สีเหลืองครีม และสีขาว นี่แหละที่จะสร้างความ สุขกาย สบายใจ และอารมณ์ดีให้กับคนเกิดพฤหัสบดีได้อย่างมาก




เลือกสีบ้านสำหรับคนเกิดวันศุกร์ สี บ้านที่ถูกโฉลกกับคนเกิดวันศุกร์นั้น ควรเป็นสีอ่อน ๆ เช่น สีขาว สีควันบุหรี่ มาเป็นอันดับแรก หรือสีส้มอ่อน สีเขียวอ่อน ๆ ก็ได้ทาภายนอก จะเสริมดวงชะตาให้ผู้คนภายในบ้านอยู่แล้วสงบสุข เกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และบ้านสำหรับคนเกิดวันศุกร์นั้นก็เหมือนเป็นหลุมหลบภัย เป็นสถานที่เล็ก ๆ เป็นส่วนตัว ยิ่งถ้าอยู่ท่ามกลางร่มไม้ ภูเขา หรือสถานที่ ๆ เป็นธรรมชาติได้จะยิ่งดีมาก โดยดวงชะตาคนเกิดวันศุกร์จึงมีบ้าน หลายหลัง มีทั้งบ้านหลังเล็ก หลังใหญ่ หรือมีสถานที่ ๆ ตัดขาดจากโลกภายนอก เหมาะกับนิสัยที่ชอบความเป็นอิสระ บางเวลาก็อยากเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ไม่อยากวุ่นวายกับผู้คน ส่วนสีของห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นก็ต้องเป็น สีพีช หรือเขียวอ่อน ๆ และสีขาว นี่แหละเหมาะมาก เพื่อความสุขกายสบายใจและอารมณ์ดีให้เกิดขึ้น ส่วนสีฟ้าอ่อน และสีเหลืองครีม หรือสีส้มเรื่อ ๆ นั้น เหมาะที่จะเป็นม่านหน้าต่าง และเครื่องประดับตกแต่งห้องนอน เช่น โคมไฟ แจกันอันใหญ่ ๆ หรือโต๊ะ เก้าอี้ ก็เหมาะที่จะมีเครื่องใช้าเหล่านี้เอาไว้ประดับตกแต่ง เพื่อเพิ่มความสง่าราศี และเสริมดวงชะตาเพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างมาก




เสือกสีบ้านสำหรับคนเกิดวันเสาร์

สี บ้านที่ถูกโฉลกกับคนเกิดวันเสาร์นั้น ควรเป็นสีอ่อน ๆ เช่นสีขาว สีควันบุหรี่ หรือ สีเขียวอ่อน ๆ จะเสริมดวงชะตาให้ผู้คนภายในบ้านอยู่แล้วสงบสุข เกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย อย่าเลือกบ้านสีฟ้า หรือ สีน้ำเงินเพราะกลับทำให้คนเกิดวันเสาร์ร้อนรุ่ม อยู่แล้ว ไม่สงบ สีเขียวอ่อน ๆ นี่แหละควรเลือกมาเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้านภายนอกหรือห้องต่าง ๆ ภายในบ้านก็ตาม และบ้านสำหรับคนเกิดวันเสาร์นั้น ก็เหมือนเป็นสถานที่นัดพบปะผู้คน จำเป็นต้องมีเฟอร์นิเจอร์ประดับประดามากมายหลายสไตล์ในบ้านหลังเดียวกัน ยิ่งถ้ามีเงินมาก ห้องแต่ละห้องก็จะแยกย่อยออกไปตามประโยชน์ใช้สอย ก็ขอให้เลือกห้องทำงาน ห้องรับแขก หรือ ห้องนั่งเล่น ตามสีเสื้อเครื่องเครื่องแต่งกายที่จะเสริมดวงชะตาด้านต่าง ๆ มาใช้กับการทาสีห้องหรือเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่งห้องด้วยก็จะเสริมกันยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยดวงชะตา คนเกิดวันเสาร์จะมีบ้านหลายหลัง มีทั้งบ้านหลังเล็ก หลังใหญ่ หรือมีสถานที่ ๆ ตากอากาศ เหมาะกับนิสัยที่ชอบมีเพื่อนมิตรมากหน้าหลายตา และชอบความสรวลเสเฮฮา ห้องแต่ละห้องของคนเกิดวันเสาร์จึงอาจมีหลายสี ได้เช่นกัน

เทคนิคการทาสีบ้านหลังเก่า




ผมว่าควรจะถือโอกาสนี้สร้างความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวด้วยการช่วยกันทาสีบ้านหลังเก่าให้ดูใหม่
ก็ดีไปอีกแบบ แต่ก่อนที่จะเริ่มลงมือทาสีบ้านเรานั้น มาทำความรู้จักกับสีชนิดต่างๆ กันสักเล็กน้อยก่อนดีกว่า
คุณจะได้เลือกใช้สีให้เหมาะสมกับงานในสภาพต่างๆ ครับ

ปัจจุบันผนังบ้านของเรามักจะเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูนเรียบ (จริงหรือเปล่า)ทาสี
การทาสีผนังแบบนี้จะแบ่งสีออกเป้น 2 ชนิด ก่อนทำการทาสีควรตรวจสอบดูก่อนว่า
ผนังเก่าของคุณมีรอยร้าวหรือไม่หากพบว่ามีรอยแตกร้าวก็สามารถทำการโป้วด้วยอะคริลิกซิลิโคน (สีขาว)
หากพบสีหลุดร่อนก็ทำการขูดออกเสียก่อนที่จะขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์ 4 อีกครั้ง
เพื่อความเรียบเนียนของพิ้นผิว
เมื่อทราบขั้นตอนการเตรียมพื้นผิวแล้วก็มาทำความรู้จักกับสีที่จะใช้กันเลยครับ

สีที่ใช้สำหรับงานปูน ได้แก่ สีทารองพื้นและสีจริง แตกต่างกันอย่างไร มีคำอธิบายครับ

1.สีทารองพื้น มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่
- สีทารองพื้นชนิดที่ทำจากอะคริลิก ซึ่งจะช่วยป้องกันเชื้อราใช้ทารองพื้นผนังปูนฉาบทั่วๆ ไป
ก่อนทาควรผสมน้ำเจือจางประมาณ 20% ของสี
- สีทารองพื้นชนิดที่ทำมาจากอัลคาไล สีชนิดนี้นอกจากจะป้องกันเชื้อราได้ดีแล้ว
ยังป้องกันความชื้นได้ดีกว่าสีทารองพื้นชนิดที่ทำจากอะคริลิก
การใช้งานกับบ้านเก่าควรเลือกสีประเภทนี้ ชนิดรองพื้นปูนเก่า ผสมน้ำ 20% ทารองพื้นก่อนทาสีจริง

2.สีจริง หรือที่เราเคยได้ยินกันติดหูว่าสีน้ำพลาสติกนั่นล่ะครับ สีพวกนี้ทำมาจากสารจำพวกลาเท็กซ์และอะคริลิก
มีการยึดเกาะและยืดหยุ่นที่ดี มีส่วนผสมที่สามารถต่อต้านเชื้อราเหมาะกับสภาพอากาศเมืองร้อนอย่างบ้านเรา
ทำความสะอาดง่ายก่อนใช้ควรผสมน้ำให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมตามที่ผู้ผลิตสีแนะนำไว้ (ข้างกระป๋องไงครับ)


สีที่ใช้สำหรับงานไม้
สีชนิดนี้มีประโยชน์ในด้านการป้องกันไม่ให้ความชื้นจากภายนอกเข้าไปทำลายเนื้อไม้
และยังช่วยรักษาความชื้นสัมพัทธ์ของเนื้อไม้เอาไว้ได้ดี ไม้จึงไม่เกิดการแตกร้าว หากได้รับการทาสีอย่างถูกวิธี
สีทาไม้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดเช่นเดียวกับสีทาปูน คือ สีรองพื้นและสีจริง

1.สีทารองพื้นไม้ มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่
สีทารองพื้นไม้ชนิดผสมอะลูมิเนียม ใช้ทารองพื้นไม้ชั้นแรก
เพื่อป้องกันยางไม้และความชื้นภายในไม่ให้ไหลออกมาปะปนกับสีจริง

สีทารองพื้นไม้สีน้ำมัน เป็นสีที่แห้งเร็วเนื่องจากมีทินเนอร์เป็นส่วนผสมทำให้สีเจือจาง
เหมาะสำหรับทารองพื้นครั้งแรกหรือทาทับไม้ที่เคยทาสีอื่นมาก่อน
สีชนิดนี้ทนทานต่อรอยขีดข่วนดี และทนความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส

2.สีจริง คือ สีที่ทาลงไปชั้นนอกสุดเพื่อความสวยงาม สามารถเลือกได้ว่าจะใช้สีโทนไหน
จะเอาหวานแหววหรือเข้มขรึมสักแค่ไหน แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่าน
ส่วนใหญ่ทำมาจากใยสังเคราะห์ เนื้อสีที่ทาแล้วจะมีความมันเป็นเงางาม มีการต้านทานเชื้อราที่ดี
ทนการขีดข่วนพอสมควร บางชนิดทนความร้อนได้สูงถึง 93 องศาเซลเซียส


สีที่ใช้สำหรับงานโลหะ จัดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือสีทารองพื้นและสีจริง

1.สีทารองพื้นโลหะ มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันครับ ได้แก่
สีทารองพื้นโลหะชนิดผสมผงซิงค์โครเมท ภาษาชาวบ้านก็สีกันสนิมนั่นล่ะครับ
สีชนิดนี้จะทำหน้าที่ป้องกัน ไม่ให้เหล็กสูญเสียอิเล็กตรอนให้กับอากาศ
ดังนั้นเหล็กจึงไม่เกิดสนิม ก่อนทาควรกำจัดสนิมให้หมดเสียก่อน แล้วผสมให้เจือจางด้วยทินเนอร์

สีทารองพื้นโลหะชนิดที่ทำมาจากอีพอกซี่ ใช้ทารองพื้นผิวที่เป็นเหล็กป้องกันการกัดกร่อนได้ดีมาก
สีชนิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้ทารองพื้นโลหะในเรือเดินสมุทร

2.สีจริง เป็นสีที่ใช้ทาทับเพื่อความสวยงาม เป็นสีน้ำชนิดเดียวกับที่ใช้ทาไม้นั่นล่ะครับ
เนื่องจากสีน้ำมันมีคุณสมบัติการยึดเกาะได้ดีทั้งไม้ ปูน และโลหะ (ผิวไม่เรียบ)

อุปกรณ์ทาสี
เครื่องไม้เครื่องมือที่คุณจะต้องเตรียมสำหรับการทาสีก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ต้องเลือกใช้ให้ถูกประเภทของสี
เป็นความรู้ในการเลือกซื้อถูก จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรี หรือเสียเวลาเอาไปเปลี่ยนการทาสีน้ำมัน
คุณจะต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

แปรงสำหรับทาสีน้ำมัน มีขนาดความกว้างหลายขนาด หากพื้นที่กว้างก็เลือกชนิดหน้ากว้าง
หากพื้นที่แคบก็เลือกขนาดเล็กๆ สักหน่อยสีจะได้ไม่เลอะส่วนที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณที่จะทา

ภาชนะผสมสี ควรเตรียมให้มีขนาดที่เหมาะสม
เพราะการผสมสีต้องผ่านกรรมวิธีการคนสีให้เข้ากับทินเนอร์ก่อนทาไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกนะครับ
เพราะทินเนอร์หรือน้ำมันสนนั้นจะกัดเนื้อผิวพลาสติกจนละลาย

ภาชนะแช่และล้างแปรง เมื่อทาสีเสร็จเรียบร้อย แปรงต่างๆ ยังคงสามารถเก็บไว้ใช้ได้
ดังนั้นเราควรมีภาชนะสำหรับแช่และทำความสะอาดแปรงด้วย
ภาชนะไม่ควรเป็นพลาสติก เพราะทินเนอร์หรือน้ำมันสนนั้นจะกัดเนื้อผิวพลาสติกจนละลายเช่นกัน


การทาสีน้ำพลาสติก มีอุปกรณ์ต่างออกไปจากสีน้ำมันดังนี้ครับ
แปรงดอกหญ้า (ทำมาจากดอกหญ้า) ชนิดเดียวกับที่เราใช้กวาดบ้านนั่นล่ะ
แต่จะไม่มีด้ามมัดให้ปลายดอกบานออกใช้จุ่มสีทาได้ ช่างมืออาชีพส่วนใหญ่จะใช้แปรงชนิดนี้
แปรงชนิดนี้ใช้แรกๆ มักจะมีสีเหลืองตกออกมา ดังนั้นควรแช่น้ำให้สีตกออกมาเสียก่อน จึงนำไปใช้ทาสีได้

ลูกกลิ้ง จะดีกว่าแปรงตรงที่ทาสีได้สม่ำเสมอ และรวดเร็วกว่า
แต่ลูกกลิ้งไม่สามารถทาแทรกเข้าไปตามซอกมุมได้ ดังนั้นจึงต้องใช้แปรงช่วยในการเก็บงานอีกครั้งหนึ่ง


การเตรียมพื้นผิว
ผิวโลหะ : ถ้าเป็นสนิม อย่ามองข้ามให้กำจัด (ให้สิ้นซาก) ให้หมดก่อน
ด้วยการใช้กระดาษทรายขัดบริเวณที่เป็นสนิม แล้วทารองพื้นกันสนิมก่อนทาสีจริงทับ

ผิวไม้ : ต้องมั่นใจว่าไม้นั้นแห้งสนิทแล้วจึงทำการขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบ
เช็ดฝุ่นผงไม้ที่เกิดจากการขัดออกให้หมด ก่อนทาทับด้วยสีรองพื้นไม้กันเชื้อรา
หากเป็นไม้เก่าที่ผ่านการทาสีมาแล้ว แต่สภาพดีก็สามารถใช้กระดาษทรายบะเอียดขัดได้เลย
ก่อนล้างฝุ่นออกรอให้แห้งสนิท แล้วจึงทาสีทับต่อไป
แต่ถ้าสีเดิมมีการหลุดร่อน แตกลาย จะต้องใช้น้ำยากัดสีเก่าออกก่อน น้ำยากัดสีตัวนี้แรงนะครับ
ก่อนใช้ต้องมีการป้องกีนร่างกายของเราด้วยการใส่ถุงมือและระวังอย่าให้กระเด็นถูกส่วนต่างๆ ของร่างกาย
เพราะว่าจะแสบมาก เมื่อลอกสีเก่าออกหมดแล้ว ควรทำความสะอาด จากนั้นทารองพื้น 2 ครั้ง
ทิ้งระยะเวลาห่างกัน 24 ชั่วโมง ก่อนทาทับอีกครั้ง หรือตามคำแนะนำของแต่ละผลิตภัณฑ์ (ข้างกระป๋อง)
ส่วนสีจริงต้องทาชั้นแรกทิ้งไว้ 16 ชั่วโมงแล้วค่อยทาชั้นที่ 2

ผิวปูน : หากเป็นผนังปูนใหม่ต้องรอให้ผนังแห้งดีเสียก่อนแล้วใช้กระดาษทรายลูบ
เพื่อให้เม็ดทรายหรือคราบน้ำปูนหลุดออก ก่อนทาทับด้วยสีรองพื้น และสีจริงตามลำดับ
หากเป็นผนังเก่าให้ตรวจดูสภาพหากชำรุดมากให้ทำการล้างและขัดออกด้วยแปรงลวด
จากนั้นอุดโป้วรอยร้าวก่อนทำการขัดด้วยกระดาษทราย ทารองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนเก่า 1 ครั้งและสีจริง 3 ครั้ง

ก็เป็นอันพอจะรู้ขั้นตอนต่างๆ ของการทาสีกันบ้างแล้วนะครับ
สำหรับท่านใดที่ไม่มีเวลาแต่อยากเปลี่ยนบ้านหลังเก่าของคุณให้ดูใหม่ก็จ้างช่างครับ
แต่เตือนกันไว้สักเล็กน้อยครับ ช่างบางคนตบตาเจ้าของบ้านเพราะความขี้เกียจ เช่น
การเตรียมผิวไม้ต้องขัดกระดาษทรายให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงทาสี
ช่างบางคนแอบใช้สีพลาสติกทาทับอุดรอยเสี้ยนไม้ไปเลย รอจนแห้งแล้วใช้สีน้ำมันทาทับ
ดูว่างานสีน้ำมันค่อนข้างเรียบร้อยแต่นานไปจะเกิดการแตกและหลุดร่อนออกมาต้องรื้องานมาซ่อมกันใหม่ภายหลัง
แบบนี้ไม่ดีแน่ หากมีเวลาแอบดูวิธีการทำงานของช่างบ้าง ก็จะดีนะครับ

บทความจาก: HOME CARE
ผู้แต่ง: คุณวุฒิ นิยมทรัพย์